คำอธิบายทั่วไปเรื่องที่ 5 : วิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน
คำอธิบายทั่วไปในหัวข้อนี้ จะครอบคลุมแนวคิดและหลักการพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจ กับมาตรฐานวิชาชีพเกี่ยวกับวิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเป็นสำคัญ
5.1 การประเมินโดยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด เป็นวิธีที่ยึดถือการพิจารณาเปรียบเทียบทรัพย์สินที่ประเมิน กับข้อมูลการซื้อขายของทรัพย์สินที่คล้ายคลึงกันหรือสามารถทดแทนกันได้เป็นปัจจัยหลักในการ
กำหนดมูลค่าตลาดของทรัพย์สิน ในการประเมินโดยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด ผู้ประเมินจำเป็นต้อง ใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลตลาดที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์ว่า
มีความเพียงพอและความเหมาะสมเพียงใดที่จะนำมาใช้เปรียบเทียบกับทรัพย์สินที่ประเมินมูลค่า
และจะต้องพิจารณาข้อมูลการซื้อขายซึ่งรวมถึงสัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาซื้อขาย ข้อเสนอซื้อ ราคา และเงื่อนไขของการเสนอขายที่เคยมีปรากฏสำหรับทรัพย์สินที่ประเมิน โดยเฉพาะหากข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลที่ผู้ประเมินสามารถตรวจสอบได้ ผู้ประเมินต้องเก็บรักษาข้อมูลที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์ โดยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาดเพื่อการอ้างอิงในอนาคต ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ประเมินอาจถูกขอใหนำเสนอ
วิธีการวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้โดยละเอียดจากลูกค้าผู้รับบริการก็ได้ นอกจากนี้ ในประการสำคัญ ผู้ประเมินจะต้องเข้าใจว่า ความรู้ความเข้าใจในปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุนในตลาด
ที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ รวมทั้งแนวโน้มีการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งเสียกว่า
การใช้วิธีเปรียบเทียบราคาตลาดโดยไม่มีความรู้พื้นฐานเหล่านี้อย่างเพียงพอ การประเมินโดยวิธีนี้สามารถใช้ได้กับหลักเกณฑ์การกำหนดมูลค่าตลาดและใช้ได้กับทรัพย์สิน ทุกประเภทที่มีข้อมูลเปรียบเทียบเพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทรัพย์สินที่มีขนาดเล็กเช่น ที่ดิน ว่างเปล่า ที่พักอาศัยประเภทต่างๆ อาคารพาณิชย์ พื้นที่ภายในอาคารสำนักงานหรืออาคารพักอาศัย
5.2 วิธีการประเมินโดยวิธีคิดจากต้นทุน(Cost Method) วิธีประเมินที่สำคัญได้แก่ การคำนวณมูลค่า ต้นทุนทดแทนสุทธิ (Depreciated Replacement Cost) ซึ่งพิจารณาถึง มูลค่าตลาดของที่ดิน รวมกับ ต้นทุนก่อสร้างทดแทนใหม่ของอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายคลึงกันในแง่รูปแบบและการใช้ ประโยชน์ พร้อมกับการพิจารณาหักค่าเสื่อมราคาของอาคารและสิ่งปลูกสร้าง ตามปัจจัยที่มีผลต่อ
การเสื่อมค่าของทรัพย์สินเช่น อายุ การเสอมสภาพทางเศรษฐกิจ ความล้าสมัยของรูปแบบประโยชน์ ของอาคาร ผลจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เป็นต้น เพื่อการกำหนดมูลค่าตามสภาพปัจจุบันของอาคาร
และสิ่งปลูกสร้างนั้น การประเมินมูลค่าที่ดินโดยวิธีนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประเมินจะต้องตรวจสอบ เพื่อยืนยันการใช้ประโยชน์สงสุด ในที่ดินด้วยและจะต้องให้ความเห็นด้านราคาที่สอดคล้องกับ ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินเท่าที่เป็นอยู่ ณ วันที่ประเมิน
วิธีการประเมินโดยวิธีคิดจากต้นทุน สามารถใช้ได้กับการประเมินตามหลักเกณฑ์การประเมินที่มิใช่
การกำหนดมูลค่าตลาด และใช้ได้สำหรับการกำหนดตัวแทนของมูลค่าตลาด สำหรับทรัพย์สินที่มี
ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สินประเภทที่ไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบเพียงพอโดยเฉพาะข้อมูล
ที่เกี่ยวกับราคาซื้อขายในตลาด
5.3 วิธีประเมินโดยพิจารณาจากรายได้ โดยวิธีคิดอัตราผลตอบแทนทางตรง(Direct Capitalization) เป็นวิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเชิงเปรียบเทียบวิธีหนึ่ง ซึ่งพิจารณารายได้และค่าใช้จ่ายของ ทรัพย์สินที่ประเมิน และทำการประเมินมูลค่าโดยหารรายได้สุทธิด้วยอัตราผลตอบแทนจากการ
ลงทุน (Capitalization Rate) เป็นร้อยละที่คาดว่าจะได้รับจากทรัพย์สินวิธีนี้จะพิจารณาถึงความสัมพันธ์ โดยตรงระหว่างอัตราผลตอบแทนรวม(ซึ่งพิจารณาความเสี่ยงทั้งมวล) กับรายได้สุทธิปีใด ปีหนึ่งเพียงปีเดียว (ซึ่งโดยทั่วไปควรจะสะท้อนถึงปีที่ทรัพย์สินได้ให้รายได้ที่มีเสถียรภาพแล้ว) การประเมินโดยกรรมวิธีพิจารณาจากรายได้โดยวิธีคิดอัตราผลตอบแทนทางตรงสามารถใช้ได้กับ ทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้จากตัวของทรัพย์สินโดยไม่มีรายได้จากส่วนอื่นๆ มาเกี่ยวข้องเช่น รายได้จากงานบริการ หรือรายได้ที่ได้มาจากการขายสินค้าอื่นๆ นอกจากนี้ สภาวะของตลาด จะต้องมีความมั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอัตราการเติบโตของอุปสงค์ อุปทานและ อัตราค่าเช่าอย่างมีนัยสำคัญเช่น การประเมินที่พักอาศยขนาดเล็ก ห้องชุด พื้นที่ในอาคารชุด
สำนักงาน อาคารพาณิชย์ขนาดเล็กเป็นต้น
5.4 วิธีการประเมินโดยวิธีคำนวณมูลค่าปัจจุบันของรายได้กระแสเงินสด(Discounted Cash Flow) เป็นวิธีที่ผู้ประเมินจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนถึงระเบียบวิธีที่ปฏิบัติในทุกขั้นตอน ซึ่งรวมถึงวิธี Net Present Value (NPV) และ Internal Rate of Return อัตราที่ใช้คิดลด (discount rate) ซึ่งในกรณี ของ NPV ควรจะเป็นอัตราผลตอบแทนทนักลงทุนโดยทั่วไป (a typical investor) พึงคาดหวังจากการ ลงทุนในทรัพย์สินประเภทนั้นๆโดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางการเงินของนักลงทุนใดนักลงทุนหนึ่ง ระยะเวลาที่ใช้ในการประมาณการรายได้ที่เป็นกระแสเงินสดควรจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและ สอดคล้องกับสมมติฐานที่ใช้ประมาณการกระแสเงินสดที่ได้รับจากทรัพย์สินในการประมาณการ กระแสเงินสด ซึ่งควรเป็นรายได้ก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้นั้น ต้องระบุโดยชัดเจนว่าจะเป็นการ
คำนวณโดยทบต้นในคาบเวลา (compounding period)เช่นใด โดยสะท้อนถึงรายได้และค่าใช้จ่าย ที่ควรเกิดขึ้นจริงในอนาคต ทั้งยังจะต้องแสดงการคำนวณ terminal value อย่างชัดเจน ผู้ประเมินควรพิจารณาใช้วิธีประเมินโดยพิจารณาจากรายได้เป็นหลักก่อนเสมอในการประเมิน มูลค่าทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้จาก ตัวของทรัพย์สินเองเพียงอย่างเดียวหรือเป็นทรัพย์สินที่มีรายได้จากส่วนอื่นด้วยเช่น ทรัพย์สิน ประเภทโรงแรม สนามกอล์ฟ โรงภาพยนตร์ เป็นต้น
5.5 วิธีการประเมินโดยวิธีคำนวณมูลค่าคงเหลือสุทธิ(Residual Method) ผู้ประเมินควรจะต้องตรวจสอบ และวิเคราะห์อย่างรอบคอบในส่วนที่เกี่ยวกับการประมาณการราคาขายหรือค่าเช่าโดยอ้างอิงถึงข้อมูล ตลาด การประมาณการต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาสำหรับโครงการที่คล้ายคลึงกันหรือสามารถ เปรียบเทียบกันได้ รวมทั้งการเลือกใช้อัตราคิดลด(discount rate) และอัตราผลตอบแทนของผู้พัฒนา หรือผู้ประกอบการ ตลอดจนระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนาและระยะเวลาที่ใช้ในการขายหรือให้เช่า ซึ่งต้องพิจารณาโดยรอบคอบสำหรับสภาวะตลาดในพื้นที่นั้นๆ รวมถึงสภาวะการแข่งขันที่อาจเกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาของการพัฒนา
การประเมินโดยวิธีนี้ควรใช้กับทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือทรัพย์สินที่มีศักยภาพพอ
ที่จะพัฒนาเพื่อให้เป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ในอนาคตเช่น ที่ดินว่างเปล่า โครงการ จัดสรรประเภทต่างๆ และอาคารสำนักงาน เป็นต้น
5.6 ผู้ประเมินจะต้องเข้าใจโดยถ่องแท้ว่า การเลือกใช้กรรมวิธีประเมินราคาเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่จะนำไปสู่ การให้ความเห็นอย่างเป็นระบบซึ่งผู้ประเมินจะต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ในบางกรณีที่มีความพยายามโดยฝ่ายที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในทรัพย์สิน ขอให้ผู้ประเมินเลือกใช้ วิธีการประเมินบางวิธี และไม่ประสงค์ให้ผู้ประเมินทำการประเมินโดยวิธีอื่น ผู้ประเมินอาจขอยกเลิก การให้บริการนั้นเสียก็ได้ การยอมรับการประเมินประเภทนี้โดยระบุเป็นเงื่อนไขลงในรายงาน
อาจไม่ช่วยให้ผู้ประเมินพ้นความผิดทางวิชาชีพไปได้ หากพบในภายหลังว่ามูลค่าที่ประเมินได้มิใช่
มูลค่าที่เหมาะสม สำหรับทรัพย์สิน
5.7 ผู้ประเมินพึงตระหนักว่า การใช้ดุลยพินิจสำหรับเลือกใช้วิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินให้เหมาะสม กับวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ ลักษณะของสิทธิตามกฎหมายในทรัพย์สินและลักษณะของทรัพย์สิน
หรือเงื่อนไขอื่น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง การเลือกใช้ วิธีประเมินมูลค่าที่ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่มีเหตุผลสนับสนุนอย่างน่าเชื่อถือ อาจหมายถึงการที่
ผู้ประเมินมีความรู้และประสบการณ์ไม่เพียงพอ หรืออาจหมายถึงการประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติงาน ทางวิชาชีพก็ได้
5.8 ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาระดับคุณภาพ และความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นหลักในการเลือกใช้วิธี ประเมิน ไม่จำเป็นเสมอไปที่ผู้ประเมินจะต้องใช้วิธีการประเมินหลายวิธี หากข้อมูลตลาดที่ใช้สนับสนุน การวิเคราะห์ของบางวิธีมีไม่เพียงพอ การพยายามประเมินมูลค่าให้ครบทุกวิธีทั้งที่ข้อมูลขาดความ สมบูรณ์ นอกจากจะทำให้ผลการประเมินที่ได้โดยวิธีเหล่านั้นผิดพลาดแล้ว ยังอาจทำให้การสรุปมูลค่า ในขั้นสุดท้ายคลาดเคลื่อนไปได้มากอีกด้วย
5.9 ในการเลือกใช้วิธีประเมินจำเป็นอยางยิ่งที่ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ไปพร้อมกับการศึกษาสภาวะของตลาดทรัพย์สินแต่ละประเภทควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับประเภทของทรัพย์สินที่จำเป็นต้องทำการประเมินโดยวิธีพิจารณาจากรายได้ ซึ่งในการ ประเมินทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ผู้ประเมินควรพิจารณาเลือกใช้วิธีประเมินโดยพิจารณา จากรายได้เป็นหลักก่อนเสมอแล้วจึงเลือกใช้วิธีการประเมินแบบอื่นเพื่อเป็นการตรวจสอบ
ผลการประเมิน